เคราะห์ซ้ำกรรมซัด!! น้ำท่วมบ้าน แฝงภัยร้ายใกล้ตัวที่มองข้ามอาจต้องแลกด้วยชีวิต อสูรร้ายที่มากับน้ำ อย่ามองข้ามเด็ดขาด!!

loading...  เคยสงสัยเหลือเกินว่าทำไมพอเกิดอุทกภัยทีไร ต้องได้ยินข่าวพบสัตว์มีพิษชนิดต่างๆพากันเดินพาเหรดอวดโฉมกันคึกคัก เรียกเสียงกรี๊...

loading...
 เคยสงสัยเหลือเกินว่าทำไมพอเกิดอุทกภัยทีไร ต้องได้ยินข่าวพบสัตว์มีพิษชนิดต่างๆพากันเดินพาเหรดอวดโฉมกันคึกคัก เรียกเสียงกรี๊ดและความตกใจจากชาวบ้านผู้ประสบภัยทุกหย่อมหญ้า ซึ่งเหตุผลที่เจ้าสัตว์ร้ายพวกนี้ต้องแสดงตัวออกมา ทั้งๆที่ในเวลาปกติพวกเราไม่เคยพบเจอพวกมันด้วยซ้ำ เนื่องจากพอปริมาณน้ำสูงขึ้นจนท่วมขัง ทำให้พื้นที่ที่พวกมันเคยอาศัยอยู่เดิมไม่สามารถอยู่ได้ สัตว์ดังกล่าวจะอพยพหนีปริมาณน้ำเข้ามายังพื้นที่อยู่อาศัยของมนุษย์ บ้านเรือน ตามสิ่งของต่างๆ เพื่อหาที่ซ่อนและความอบอุ่น โดยเราได้นำสัตว์มีพิษยอดฮิตที่พบเจอบ่อยจากอุทกภัยและวิธีการป้องกันไม่ให้พวกมันมาทำอันตรายพวกเราได้

1.ตะขาบ
 สัตว์เลื้อยคลานที่ชอบซุกตัวอยู่บริเวณที่อับชื้นและรก เช่น ใต้ตุ่มน้ำ กองไม้ ซากต้นไม้เปียกน้ำ ซึ่ง“พิษของตะขาบ” โดยทั่วไปไม่มีอาการรุนแรงสักเท่าไหร่ ส่วนมากจะปวด บวม และแดงเล็กน้อย บริเวณที่กัดมีรอยเขี้ยวเป็นสองจุด แต่ในรายที่อาการรุนแรงอาจพบต่อมน้ำเหลืองบริเวณใกล้เคียงโตและกดเจ็บ ปวดศีรษะ ใจสั่น คลื่นไส้ อาเจียน และหนักไปกว่านั้นบริเวณที่ถูกกัดอาจบวมแดง จนเป็นเนื้อตายจำกัดอยู่เฉพาะที่

2.แมงป่อง
 แมงป่องชอบออกหากินในเวลากลางคืน เวลากลางวันมักจะหลบซ่อนตัวอยู่ใต้โพรงก้อนหิน ใต้กองไม้ ท่อนไม้ กองกระดาน ใต้ใบไม้ ตามรอยแตกใต้พื้นบ้านที่มีความชื้น โดยแมงป่องจะทำลายผู้คนโดยบังเอิญหากถูกรบกวน ซึ่งผู้ที่ถูกต่อยจะมีอาการไม่เหมือนกัน ขึ้นอยู่กับพันธุ์ของแมงป่อง จำนวนน้ำพิษ บางรายอาจมีอาการเจ็บเพียงเล็กน้อย บางรายอาจมีอาการมากจนถึงขั้นเป็นอันตราย เพราะพิษของแมงป่องมีพิษต่อระบบประสาทและระบบโลหิต ซึ่งขอแนะนำว่าถ้าใครถูกแมงป่องต่อยเข้าไปให้รีบไปพบแพทย์โดยด่วน เนื่องจากรายที่แพ้พิษแมงป่องอาจมีอาการปวดทันที กล้ามเนื้อกระตุก อาเจียน ชัก น้ำลายฟูมปาก กระหายน้ำมาก ตัวเขียว ส่งผลให้การหายใจล้มเหลว
ข้อควรปฏิบัติ หากถูกตะขาบและแมงป่องทำร้าย
1. ล้างบริเวณแผลด้วยน้ำสะอาด ฟอกสบู่ และล้างออกให้หมด ทำซ้ำหลายครั้ง
2. ใช้ครีมยาแก้แพ้ทาบริเวณที่บวมแดง เช่น เพร็ดนิโซโลน
3. ถ้าปวดมาก ให้กินยาแก้ปวดพาราเซตามอล และใช้น้ำแข็งวางประคบ
4. ในรายที่มีไข้ ปวดศีรษะ หลังกินยาแล้ว นอนพัก ถ้าอาการไม่ดีขึ้นควรไปพบแพทย์

3.งูเงี้ยวเขี้ยวขอ
 สัตว์เลื้อยคลานอีกชนิดท่ีมีรูปร่างชวนสยองอย่างงูชนิดต่างๆ ซึ่งอพยพหนีน้ำขึ้นมาพักพิงบนที่แห้งเช่นเดียวกัน ซึ่งงูสายพันธุ์ที่พบมากในช่วงนี้ ได้แก่ งูเห่า งูแมวเซา งูเขียวหางไหม้ งูเหลือม งูหลาม เป็นต้น เนื่องจากสัตว์เลื้อยคลานพวกนี้เป็นสัตว์เลือดเย็นที่ต้องการความอบอุ่น ที่พักอาศัยจึงเป็นที่ที่เหมาะสมต้องการหลบภัย มีความอบอุ่น น้ำท่วมไม่ถึงแถมมีอาหาร จึงมักจะมีข่าวตามหน้าหนังสือพิมพ์ตลอดว่ามีงูชนิดต่างๆเข้าบ้าน และถูกงูกัดบ้าง

วิธีปฏิบัติ หากถูกงูทำร้าย
1. ใช้เชือก ผ้า หรือสายยาง รัดแขนหรือขาระหว่างแผลงูกัดกับหัวใจ (เหนือรอยเขี้ยว 2-4 นิ้วฟุต) เพื่อป้องกันมิให้พิษงูถูกดูดซึมเข้าร่างกายโดยเร็ว ให้รัดแน่นพอที่จะหยุดการไหลเวียนของเลือดดำ ควรคลายเชือกทุกๆ 15 นาที โดยคลายนานครั้งละ 30-60 วินาที จนกว่าจะถึงสถานพยาบาล
2. เคลื่อนไหวแขนหรือขาส่วนที่ถูกงูกัดให้น้อยที่สุด ควรจัดตำแหน่งของส่วนที่ถูกงูกัดให้อยู่ระดับต่ำกว่าหัวใจ (เช่น ห้อยเท้าหรือมือส่วนที่ถูกงูกัดลงต่ำ) ระหว่างเดินทางไปสถานพยาบาล อย่าให้ผู้ป่วยเดิน ให้นั่งรถหรือแคร่หาม ทั้งนี้เพื่อป้องกันการแพร่กระจายของพิษงู
3. ควรดูให้รู้แน่ว่าเป็นงูอะไร แต่ถ้าไม่แน่ใจ ควรบอกให้คนอื่นที่อยู่ในที่เกิดเหตุช่วยตีงูให้ตาย และนำไปยังสถานพยาบาลด้วย
4. อย่าให้ผู้ป่วยดื่มแอลกอฮอล์ หรือยาดองเหล้า หรือกินยากระตุ้นประสาท รวมทั้งชา กาแฟ
5. อย่าใช้ไฟหรือเหล็กร้อนจี้ที่แผลงูกัด และอย่าใช้มีดกรีดแผลเป็นอันขาด เพราะอาจทำให้เลือดออกมาก
**หลังจากปฐมพยาบาลเบื้องต้นแล้ว ควรรีบนำผู้ป่วยส่งโรงพยาบาลให้เร็วที่สุด
ภูมิปัญญาชาวบ้านป้องกันงูเข้าอาณาเขต
- โรยกรวดไว้รอบๆบ้าน เพราะงูจะเลื้อยลำบาก
- นำต้นเสลดพังพอนมาวางรอบๆบริเวณ เพราะเป็นพืชมีหนาม งูค่อนข้างกลัว
- โรยกำมะถันรอบบ้าน ถ้าฝนตกให้โรยเพิ่ม
- เก็บรองเท้าให้มิดชิด และสำรวจดูก่อนที่จะสวมรองเท้าทุกครั้ง

4.สัตว์ดุร้ายลอยอยู่ในน้ำ
นอกจากสัตว์มีพิษชนิดต่างๆที่สร้างปัญหาซ้ำเติมผู้ประสบภัยน้ำท่วมแล้ว ยังมีสัตว์เลี้ยงที่หลุดมาจากบ่อ ตัวอย่างสัตว์ที่หลุดมาพร้อมกับน้ำท่วมบ่อยๆก็คือ จระเข้ ปลาอัลลิเกเตอร์ การ์ ปลาอราไพม่า สร้างความตื่นตระหนกให้กับชาวบ้านในพื้นที่เป็นอย่างมาก เนื่องจากสัตว์ดังกล่าวเป็นสัตว์กินเนื้อ มีนิสัยค่อนข้างดุร้าย ประกอบกับลักษณะรูปร่างที่คนทั่วไปไม่ค่อยเคยพบเห็น ชาวบ้านจึงแตกตื่นและยังไม่รู้วิธีการรับมือกับพวกมัน แต่สำหรับเจ้าพวกจระเข้ทั้งหลายที่หลุดออกมามากที่สุด ส่วนใหญ่เป็นจระเข้เลี้ยง ซึ่งดุร้ายน้อยกว่าจระเข้นักล่าตามธรรมชาติ มีขนาดไม่เกิน 2 เมตร และธรรมชาติของพวกมันจะกลัวมนุษย์ เป็นส่วนน้อยที่จะกล้าท้าสู้กับคนอย่างเราๆ

วิธีรับมือจระเข้แบบชิลๆ
1. หาท่อนไม้ไว้ซักอัน เพื่อใช้ตีน้ำไล่จระเข้ ขอแนะนำว่าตีน้ำเท่านั้น ห้ามตีที่ตัวจระเข้เด็ดขาด
2. หลีกเลี่ยงการออกจากบ้านตอนกลางคืน เพราะเจ้าชาละวันออกหากินตอนกลางคืน

5.พยาธิตัวจิ๋ว
ถึงจะเป็นสิ่งมีชีวิตที่มีขนาดเล็กมาก จนบางครั้งคนเราก็ลืมนึกถึงอันตรายของพวกมัน อย่างพยาธิปากขอ  พยาธิไส้เดือน ซึ่งเกิดขึ้นจากการขับถ่ายไม่ถูกสุขลักษณะ เดินเท้าเปล่าย่ำน้ำที่สกปรก รับประทานอาหารปรุงไม่สุกหรือไม่สะอาด ซึ่งถ้าพยาธิตัวอ่อนไชเข้าผิวหนังจะเกิดอาการคันและมีตุ่มแดงๆบริเวณที่พยาธิไช ถ้าเกาอาจจะมีการติดเชื้อแบคทีเรียเป็นหนอง เมื่อพยาธิไชผ่านปอดก็จะเกิดอาการไอและมีไข้ และถ้าปล่อยให้พยาธิเจริญเป็นตัวแก่ในลำไส้เล็ก ผู้ป่วยจะรู้สึกจุกเสียดในท้องบริเวณลิ้นปี่ และจะดูดเลือดทำให้เกิดโลหิตจาง หากซีดมากๆอาจจะทำให้เกิดอาการหัวใจวาย มีอาการเหนื่อยง่าย เวียนศีรษะ

วิธีการป้องกันพยาธิที่ดีที่สุด
1. รักษาความสะอาดของร่างกาย
2. ขับถ่ายให้ถูกที่ ดูแลส้วมให้สะอาดอยู่เสมอ
3. รับประทานอาหารปรุงสุกใหม่
4. สวมรองเท้าขณะถ่ายอุจจาระหรือเดินบนพื้นดิน เพื่อป้องกันตัวอ่อนไชเข้าบริเวณง่ามเท้า

เบอร์ฉุกเฉินเพื่อความไม่ประมาท

1. หน่วยแพทย์เคลื่อนที่ช่วยผู้ประสบภัยสาธารณสุข โทร 1669

2. สายด่วนกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย โทร 1784

3. หน่วยแพทย์ฉุกเฉิน 1669

4. จ.ส.100 หมายเลข 1137 สำหรับโทรศัพท์บ้าน หรือ *1808 สำหรับโทรศัพท์มือถือ (สามารถสอบถามข้อมูลได้ตลอด 24 ชั่วโมง)

5. กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย (ปภ.) โทร. 1784 ตลอด 24 ชั่วโมง

6. ศูนย์ความปลอดภัย กรมทางหลวงชนบท โทร. 1146


from.http://www.siamnews.com/view-3370.html

You Might Also Like

0 comments

Flickr Images